วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ระบบการ “สึก”ษาไทย ตอน ภัยคุกคามจากระบบทุนนิยม


                หากพูดถึงการศึกษาในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยคงหนีไม่พ้นที่จะคิดถึงการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มนายทุนเป็นแน่ สาเหตุอาจเพราะสถานการณ์ที่แข่งขันกันสูงมากขึ้นในปัจจุบัน สถานศึกษาที่ควรจะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิชาความรู้แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดสรรมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน จากเดิมผู้เรียนจะต้องให้การเคารพผู้สอนและมีความสัมพันธ์กับผู้สอนในฐานะครูกับศิษย์ 

แต่ ณ วันนี้ ครูเปรียบเสมือนพนักงานขาย(ความรู้)ที่มีลูกศิษย์เป็นลูกค้าเลือกได้ตามใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ จนครูบางคนถึงกับต้องทำโปรโมชั่นเรียกร้องความสนใจให้ศิษย์หันกลับมาตั้งใจเรียนกันเลยอย่างเช่น ให้ตั้งใจเรียนจะเลิกคลาสไว หรือ ให้เลือกทำกิจกรรม เช่น จะสอบ จะทำรายงาน จะเอาอะไรยังไงก็ขึ้นอยู่ที่ผู้เรียน ทั้งที่จริงๆแล้วผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลสามารถเล็งเห็นว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์มากกว่ากันน่าจะเป็นอาจารย์ผู้สอนมากกว่า หรือแม้แต่เรื่องการเสียค่าเทอมที่ปัจจุบันเป็นทั้งระบบเหมาจ่ายและยังจ่ายง่ายไม่ต้องมานั่งคิดคำนวณหรือแม้แต่เลือกลงวิชาใดใดเพราะทางมหาวิทยาลัยอำนวยความสะดวกให้ถึงขนาดแค่ถือกระดาษพร้อมเงินเดินเข้าไปในธนาคารก็สามารถลงทะเบียนเรียนได้แล้ว 

จนบางครั้งผู้เขียนยังแอบคิดเลยว่า “นี่อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือสถานศึกษากันแน่? เพราะมีความสะดวกสบายมากเกินไปและหากความสะดวกสบายมีมากเท่าไรคุณค่าการศึกษาก็จะน้อยลงมากเท่านั้นเพราะหากสิ่งใดได้มาโดยง่ายคุณค่าในของสิ่งนั้นก็จะน้อยลงตามด้วย อีกประการหนึ่ง ห้างสรรพสินค้ากับระบบนายทุนเป็นของคู่กันที่เหมาะสม แต่การศึกษากับระบบนายทุนนั้นผู้เขียนยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เข้าคู่กันและไม่ควรจะเข้าคู่กันด้วย การศึกษาสมควรจะเป็นสวัสดิการของรัฐที่จัดให้กับประชาชนในทุกหย่อมหญ้าเสียมากกว่า 

มีคำถามคาใจอยู่ข้อหนึ่งที่ผู้เขียนลองคิดเล่นๆว่าหากสถานศึกษาเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้า วิชาความรู้จะต้องเสียภาษีมูลค้าเพิ่ม (VAT) เหมือนสินค้าที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าหรือไม่กัน และหากเป็นเช่นนั้นจริง คนยากคนจนคงไม่มีเงินส่งเสียลูกหลานให้เรียนเป็นแน่แท้ จึงขอย้อนกลับไปที่คำเดิมว่า 

“การศึกษานั้นควรจะเป็นรัฐสวัสดิการที่จัดสรรให้คนในทุกหย่อมหญ้าและการศึกษาที่รัฐจัดให้นั้นก็ควรที่จะ ถูก และ ดีมีคุณภาพ” เพราะหากการศึกษาไทยยังไม่พัฒนา และปรับปรุงให้ดีขึ้น การศึกษาก็จะ “สึก” ลงเรื่อยๆเป็นสนิมที่กัดกินเหล็กจนยากที่จะเคาะออกให้สะอาดดังเดิมได้.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น