วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวสวนรถไฟ

            การเดินทางมาเยือนเขตคนมีสตางค์แย่าง เขตจตุจักร ทำให้ได้มีโอกาสมาเดินกินลมในสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ค่ะ


          สำหรับรายละเอียดเบื้องต้นของสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) แห่งนี้นะคะ
ชื่อสถานที่ : สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)
ที่อยู่ : ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร.02-537-9221
เวลาเปิด-ปิด : 04.30-21.00 น.
การเดินทาง : รถประจำทาง: สาย 3, 29, 52, 138 ปอ.510, 512, 513,517
รถส่วนตัว : มีลานจอดรถข้างใน
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าธรรมเนียม, หากนำรถมา เสียค่าบำรุงสถานที่ 10 บาท, ค่าเช่าจักรยาน 20-30 บาท ขี่ 5 ครั้ง ฟรี 1 ครั้ง (ส่วนมากทุกร้านมีโปรโมชั่นนี้) เช่า 6-7 คัน แถมฟรี 1 คัน ค่าเช่าเสื่อ 20 บาท
อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ : เปิดให้บริการโดยไม่เสียค่าเข้าชม ทุกวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 8.30 - 16.30 น. หยุดทุกวันจันทร์ โทร.02-272-4359-60

การเดินทางมา
          สวนรถไฟอยู่เขตจตุจักร ติดกับสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ใกล้ ๆ สวนจตุจักรนี่เอง ทางเข้าจะอยู่ใกล้กับตึก ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ้ามาจาก ถ.วิภาวดีรังสิต แยกสุทธิสาร จะต้องขึ้นสะพานลอยข้ามแยก (ด้านนอก) ให้เลือกช่อง “ดอนเมือง” อย่าผิดช่องเพราะมีหลายทางเลือกมาก เมื่อลงสะพานลอยให้ชิดซ้ายตัดเข้าถนนเล็ก ๆ ตรงทางเข้า ตรงจุดนี้ควรใช้ความระมัดระวังด้วย เพราะระยะทางค่อนข้างกระชั้นชิด ถ้ามาจากทางอื่นไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก แล้วเลี้ยวเข้าซอยข้าง ปตท.ซึ่งจะเห็นป้ายชื่อสวนวชิรเบญจทัศขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ถ้านำรถมาเสียค่าบำรุงสถานที่ 10 บาท

บริเวณภายใน
          เข้ามาในสวนเริ่มเห็นผู้คนหนาตาขึ้น ยิ่งถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์คนจะเยอะกว่าวันธรรมดามาก มีตลาดนัดขายอาหาร ของกิน ของใช้ แนวถูกใจแม่บ้านคุณผู้หญิง ซึ่งในวันธรรมดาไม่มีเพราะคนมากันน้อย 


          จะเลือกเดินหรือวิ่ง ออกกำลังก็ได้ แต่ขอแนะนำกิจกรรมขี่จักรยาน ซึ่งเราคิดว่าดูน่าสนุกและมีสีสันกว่า มีร้านค้าให้เช่าจักรยานอยู่หลายร้าน มีจักรยานหลายแบบหลายทรงให้เลือก ทั้งแบบจักรยานเสือภูเขา นั่งได้คนเดียว จักรยานแม่บ้าน สำหรับเด็กเล็ก ผู้หญิง ผู้สูงวัย จักรยาน LA แบบมีเบาะซ้อน (คาดว่าเหมาะสำหรับหนุ่มสาว คู่รัก คู่กิ๊กแน่ ๆ เลย) สอบถามร้านให้เช่าร้านหนึ่งบอกว่าจักรยานของที่นี่รวมทั้งหมดแล้วมีมากกว่า สามพันคัน เยอะมาก สำหรับค่าเช่าประมาณคันละ 20-30 บาทแล้วแต่รุ่นของจักรยาน (เสือภูเขามีเกียร์ ดีสุด แพงสุด คันละ 30 บาท) ซึ่งทางร้านเขาจะไม่กำหนดเวลา จะขี่นานเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้คืนก่อน 19.30 น.ก็แล้วกัน โดยวางบัตรประชาชนมัดจำไว้ หลายร้านมีโปรโมชั่นเป็นบัตรประทับตรา ปั๊มตราครบ 5 ครั้งได้ขี่ฟรี 1 ครั้ง บางร้าน เช่า 6-7 คันแถมฟรี 1 คัน สำหรับกลุ่มที่มากันหลาย ๆ คน ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน ถ้าเป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันเสาร์-อาทิตย์ บางร้านเช่า 1 คันแถมเสื่อเอาไปปูรองนั่งด้วยก็มี (ปกติค่าเช่าเสื่อ 20 บาท)


ล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเลือกจักรยาน
          ควรเลือกขนาดของจักรยานให้พอดีกับรูป ร่าง ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ต้องลองขึ้นคร่อมดูให้รู้สึกว่าถนัด สบาย ไม่อึดอัด เลือกรุ่นที่มีโช้คก็ดี (ดูที่ตะเกียบหน้า/หลัง จะมีสปริง ไม่ใช่ตรง ๆ เรียบ ๆ ธรรมดา) เวลาต้องขี่ผ่านทางขรุขระจะไม่รู้สึกสะเทือนมาก และเลือกคันที่เบาะนุ่ม ๆ ใหญ่ๆ จะนั่งสบายกว่าเบาะแข็ง ๆ เล็ก ๆ พิถีพิถันในการเลือกหน่อย เพราะถ้าได้คันที่ขี่ไม่สบายแล้วอาจหมดสนุกไปเลย สอบถามวิธีการเปลี่ยนเกียร์จากเด็กที่ร้านด้วยถ้าคิดจะเพิ่มอรรถรสในการขี่ ปรับความสูงของเบาะให้พอดี ๆ อ้อ..อย่าลืมเช็คเรื่องเบรคด้วยล่ะ

สองล้อออกลุย
          เลือกรถคู่ชีพ (ชั่วคราว) ได้แล้วก็ไปกันเลย เส้นทางของจักรยานที่นี่ จะเป็นทางวันเวย์ ห้ามขี่ย้อนกลับ เพราะฉะนั้น ถ้าขี่แล้วต้องให้ครบรอบ มีทั้งเส้นทางธรรมดาปกติ ทางลาดยาง ขี่ผ่านร่มเงาแมกไม้ สบาย ๆ หรือถ้าไม่ชอบทางปกติ ก็มีทางแบบออฟโรดให้วิบากเล่น มีห้องน้ำให้แวะทำธุระ ล้างหน้าล้างมือ อยู่เป็นระยะ ๆ ร้านขายเครื่องดื่มก็มี ขี่สำรวจให้ทั่ว ๆ ซอกแซกลัดเลาะไปตามทางแยกต่าง ๆ จะเจอบริเวณสวย ๆ ที่จัดทำไว้อยู่ภายในสวน ค่อย ๆ ดูกันไปว่ามีอะไรบ้าง  
อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ ก็อยู่ในสวนรถไฟแห่งนี้ มาแล้วก็น่าจะเข้าไปดู ไม่เสียค่าชม 


ใครว่างก็อย่าลืมมาเที่ยวสวนรถไฟนะคะ ได้บรรยากาศไปอีกแบบค่ะ 

3 กิจการทอง สวนสุนันทา

 เรียนสวนสุนันทามาปีนี้ก็ใกล้จะเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว กินเบเกอรี่'สวนสุนันทาและดื่มน้ำดื่มแก้วเจ้าจอมมาก็ถือว่านานพอสมควรกันทีเดียว หรือแม้แต่โรงแรมก็เห็นกันอยู่ทุก ๆ วัน บางวันเงินในกระเป๋าหนาอยู่ก็เดินเล่นไปกินอาหารกลางวันกันในโรงแรมแก้วเจ้าจอมก็มี วันนี้จึงขอใช้โอกาส ที่ได้ทำบล็อก ในการอบรมคอมพิวเตอร์ก่อนจะฝึกงาน

ว่ากันด้วยเรื่องของเบเกอรี่

ประวัติโครงการเบเกอรี่'สวนสุนันทา
          โครงการเบเกอรี่ในโครงการอาหารกลางวัน เริ่มจากฝ่ายสวัสดิการในสถาบันราชภัฎสวน
สุนันทาได้จัดทำโครงการอาหารกลางวันขึ้น  เพื่อบริการอาหาร  อาหารว่าง  และเครื่องดื่ม  เมื่อมี
การจัดงานประชุมหรือสัมมนาขึ้นภายในสถาบันฯ ต่อมามีการจัดเลี้ยงและมีการขายอาหาร ซึ่งเป็น
บริการให้นักศึกษาได้รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะในราคาที่ไม่แพง เมื่อมีการจัดดเลี้ยงอาหารว่างมากขึ้น จึงทำขนมเบเกอรี่เองและได้รับความนิยม เมื่อทำขนมมากขึ้น ก็ขยายกิจการ จึงตั้งโครงการเบเกอรี่ฯ ขึ้นมา โดยไม่ทำการจดทะเบียนเพียงแบบฟอร์มการจัดตั้งโครงการฯ และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานขึ้นมาควบคุมโครงการฯ  เมื่อประมาณเดือน กุมภาพันธ์ 2543  จนถึงปัจจุบัน  

ราคาเบรกกล่องอาหารว่างต่างๆ
 ชุดที่ 1 ราคา 25 บาท       
         อาหารว่าง 1 ชนิด พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ ไมโล น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้หรือนม        
ชุดที่ 2 ราคา 35 บาท       
         อาหารว่างคาว 1 ชนิด อาหารว่างหวาน 1 ชนิด พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ ไมโล น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้หรือนม       
ชุดที่ 3 ราคา 50 บาท       
         อาหารว่างคาว 1 ชนิด อาหารว่างหวาน 2 ชนิด หรือ        
         อาหารว่างคาว 2 ชนิด อาหารว่างหวาน 1 ชนิด       
         พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ ไมโล น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้หรือนม    
หมายเหตุ* ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า   

 สถานที่ให้บริการและการจัดจำหน่าย   
            จุดขายหกเหลี่ยมบริเวณประตูถนนสามเสน   
            จุดขายเรือนริมรั้ว   
            จุดขายใต้ถุนอาคาร 37   
            จุดขายมัธยมสาธิตสวนสุนันทาบริเวณประตูถนนอู่ทองทองนอก   
            จุดขายคณะวิทยาการจัดการ   
            จุดขายประตูถนนสามเสน  

ต่อกันที่เรื่องของ โรงแรมสวนสุนันทา
            เป็นศูนย์สำหรับฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ให้แก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ใน สาขาอุตสหกรรมการท่องเที่ยว , สาขาคหกรรมศาสตร์ , สาขาภาษาอังกฤษ จึงเปิดให้บริการในลักษระของโรงแรมแบบมาตรฐานอย่างครบถ้วนแก่บุคคลทั่วไป เราพร้อมจะให้บริการอันน่าประทับใจ ในบรรยากาศของชาววังสวนสุนันทา นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ท่านเข้ามา ท่านจะพบกับรอยยิ้ม ของพนักงานทุกท่าน พร้อมด้วย การต้อนรับด้วยไมตรีจิตที่อบอุ่นและเป็นกันเองจากเรา พร้อมด้วยที่พักอันทันสมัย ซึ่งได้รับการออกแบบมา อย่างมีรสนิยม ในทุกห้องพักเรา ใส่ความลงตัว ความสะดวกสบาย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เช่น โทรศัพท์ระบบเคเบิ้ล ตู้เย็น โทรศัพท์ทุกห้องพัก เป็นต้น

ละจบลงที่ น้ำดื่มแก้วเจ้าจอม
             โดยน้ำดื่มจะผลิตนอกจากจะผลิตเพื่อขายในมหาวิทยาลัยแล้วยังผลิตมาเพื่อส่งไปขายนอกมหาวิทยาลัยอีกด้วย ขายในราคา
     น้ำดื่มแก้วเจ้าจอม   500 ซซ.   โหลละ   48   บาท
     น้ำถ้วยแก้วเจ้าจอม 200  ซซ.   โหลละ   15   บาท
     น้ำดื่มแก้วเจ้าจอม 1,500 ซซ.   โหลละ 100   บาท
     รับบริการผลิตน้ำดื่มขนาดต่างๆ     
หมายเหตุ* บริการส่งฟรีทั่วกรุงเทพฯ เมื่อสั่งน้ำดื่มตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป

        รู้ละเอียดกันขนาดนี้แล้ว เพื่อนๆคงจะพอมองว่ากันด้วยเรื่องของเบเกอรี่ออกว่า 3 กิจการของมหาิวิทยาลัยนี้ สร้างรายได้ให้มหาวิทยาลัยมากมายมหาศาล จะเป็นไปได้ไหม.ถ้าเหล่านักศึกษาจะหันมาสนใจเงิน ทรัพย์สินต่าง ของมหาวิทยาลัยที่มีเราเป็นเจ้าของร่วม พร้อมทั้งให้การสอดส่องดูแลฝ่ายที่เป็นผู้กำกับดูแล เพื่อให้เกิดการรับรู้เรื่องราวในมหาวิทยาลัยและนำไปสู่การร่วมตัดสินใจต่างๆของมหาวิทยาลัย

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ระบบการ “สึก”ษาไทย ตอน ภัยคุกคามจากระบบทุนนิยม


                หากพูดถึงการศึกษาในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยคงหนีไม่พ้นที่จะคิดถึงการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มนายทุนเป็นแน่ สาเหตุอาจเพราะสถานการณ์ที่แข่งขันกันสูงมากขึ้นในปัจจุบัน สถานศึกษาที่ควรจะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิชาความรู้แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดสรรมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน จากเดิมผู้เรียนจะต้องให้การเคารพผู้สอนและมีความสัมพันธ์กับผู้สอนในฐานะครูกับศิษย์ 

แต่ ณ วันนี้ ครูเปรียบเสมือนพนักงานขาย(ความรู้)ที่มีลูกศิษย์เป็นลูกค้าเลือกได้ตามใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ จนครูบางคนถึงกับต้องทำโปรโมชั่นเรียกร้องความสนใจให้ศิษย์หันกลับมาตั้งใจเรียนกันเลยอย่างเช่น ให้ตั้งใจเรียนจะเลิกคลาสไว หรือ ให้เลือกทำกิจกรรม เช่น จะสอบ จะทำรายงาน จะเอาอะไรยังไงก็ขึ้นอยู่ที่ผู้เรียน ทั้งที่จริงๆแล้วผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลสามารถเล็งเห็นว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์มากกว่ากันน่าจะเป็นอาจารย์ผู้สอนมากกว่า หรือแม้แต่เรื่องการเสียค่าเทอมที่ปัจจุบันเป็นทั้งระบบเหมาจ่ายและยังจ่ายง่ายไม่ต้องมานั่งคิดคำนวณหรือแม้แต่เลือกลงวิชาใดใดเพราะทางมหาวิทยาลัยอำนวยความสะดวกให้ถึงขนาดแค่ถือกระดาษพร้อมเงินเดินเข้าไปในธนาคารก็สามารถลงทะเบียนเรียนได้แล้ว 

จนบางครั้งผู้เขียนยังแอบคิดเลยว่า “นี่อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือสถานศึกษากันแน่? เพราะมีความสะดวกสบายมากเกินไปและหากความสะดวกสบายมีมากเท่าไรคุณค่าการศึกษาก็จะน้อยลงมากเท่านั้นเพราะหากสิ่งใดได้มาโดยง่ายคุณค่าในของสิ่งนั้นก็จะน้อยลงตามด้วย อีกประการหนึ่ง ห้างสรรพสินค้ากับระบบนายทุนเป็นของคู่กันที่เหมาะสม แต่การศึกษากับระบบนายทุนนั้นผู้เขียนยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เข้าคู่กันและไม่ควรจะเข้าคู่กันด้วย การศึกษาสมควรจะเป็นสวัสดิการของรัฐที่จัดให้กับประชาชนในทุกหย่อมหญ้าเสียมากกว่า 

มีคำถามคาใจอยู่ข้อหนึ่งที่ผู้เขียนลองคิดเล่นๆว่าหากสถานศึกษาเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้า วิชาความรู้จะต้องเสียภาษีมูลค้าเพิ่ม (VAT) เหมือนสินค้าที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าหรือไม่กัน และหากเป็นเช่นนั้นจริง คนยากคนจนคงไม่มีเงินส่งเสียลูกหลานให้เรียนเป็นแน่แท้ จึงขอย้อนกลับไปที่คำเดิมว่า 

“การศึกษานั้นควรจะเป็นรัฐสวัสดิการที่จัดสรรให้คนในทุกหย่อมหญ้าและการศึกษาที่รัฐจัดให้นั้นก็ควรที่จะ ถูก และ ดีมีคุณภาพ” เพราะหากการศึกษาไทยยังไม่พัฒนา และปรับปรุงให้ดีขึ้น การศึกษาก็จะ “สึก” ลงเรื่อยๆเป็นสนิมที่กัดกินเหล็กจนยากที่จะเคาะออกให้สะอาดดังเดิมได้.


เพียงเพราะในกระเป๋ามีเงิน


                ปัญหารถติดเป็นปัญหาที่อยู่คู่กับสังคมเมืองหลวงมายาวนานจนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตบนท้องถนนที่ผู้ใช้รถใช้ถนนจะต้องประสบพบเจอกันเป็นประจำ ปัญหารถติดมีหลากหลายสาเหตุทั้งที่เกิดจากรถหนาแน่นในช่วงเวลาเร่งรีบของวันเช่นตอนเช้าก่อนเวลาทำงานหรือตอนเย็นหลังเวลาเลิกงาน และอาจเกิดจากสภาพถนนไม่สมบูรณ์กำลังปรับปรุงซ่อมแซมต่างๆ และในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทานั้นยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่มักจะทำให้รถติดมาก คือ การจอดรถในที่ที่ไม่สมควรจอดบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฝั่งประตูสามเสนตรงข้ามโรงเรียนเซนคาเบรียล และที่แย่ไปกว่าสิ่งอื่นใดคือ ไม่มีใครคิดจะแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้อย่างจริงจังเสียที
                  กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาบนถนนสามเสนที่ทุกเย็นจะพบเจอกับรถยนต์รุ่นต่างๆราคาแพงๆที่จอดกันยาวเหยียด 2-3 เลนส์ถนนเพื่อรอรับลูกหลานที่ใกล้จะเลิกเรียนและนี่คือต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ถนนเส้นนี้รถติดทุกเย็น มีสิ่งที่น่าสนใจภายใต้ปัญหารถติดนี้หลายประการ
                ประการแรก คือ ทำไมไม่มีใครออกมาเรียกร้องทั้งที่ปัญหานี้มีผู้ได้รับผลกระทบมากมาย
                ประการที่สอง คือ ทำไมรถเหล่านั้นจึงสามารถจอดได้ทั้งที่จริงแล้วเป็นที่ห้ามจอดเป็นถนนที่ใช้สัญจรรถไม่ใช่ลานจอดรถ
                ประการที่สาม คือ ทำไมไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล
                ประการที่สี่ คือ ทางโรงเรียนเซนคาเบรียลทำไมไม่แก้ไขปัญหาตรงจุดนี้
                คำถามเหล่านี้ทำให้สามารถโยงเรื่องปัญหารถติดเข้ากับปัญหาความเลื่อมล้ำในสังคมได้ เพราะปัญหารถติดบนถนนสามเสนนี้เกิดจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างจะมีฐานะทางสังคมดีวิเคราะห์จากโรงเรียนที่ลูกหลานของคนกลุ่มนี้เรียนซึ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อยหากไม่ใช่คนมีฐานะดีก็คงจะไม่สามารถส่งลูกหลานเข้ามาเรียนได้ สาเหตุที่นำเอากรณีรถติดบนถนนสามเสนมาเชื่อมโยงกับปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมเพราะหากลองมองดูสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยแท้จริงแล้วก็มีการแบ่งชนชั้นไม่ได้ต่างอะไรกับประเทศอินเดียเลยเพียงแต่ประเทศของเรานั้นไม่ได้บัญญัติชนชั้นไว้ให้ชัดเจนเช่นของอินเดียแต่ของเรานั้นเป็นที่รู้กันเองเสียมากกว่าว่าเป็นคนระดับใด น่าเสียดายที่คนระดับล่าง ระกับกลางระดับสูงนั้นไม่ได้วัดกันด้วยความรู้ความสามารถหากแต่วัดกันที่มูลค่าของสิ่งมีค่าที่มีในครอบครองไม่ว่าจะเงิน ทอง บ้าน รถ ที่ดิน ต่างๆนาๆ
                คนรวยเปรียบเสมือนอภิสิทธิ์ชนสามารถทำอะไรก็ได้เช่นปัญหารถติดข้างต้นหากปรับเปลี่ยนเป็นรถติดเพราะพ่อแม่ของเด็กวัดราชาที่มารอรับลูกหลานที่หน้าวัดราชาทำให้ถนนสามเสนกลายเป็นอัมพาตไปช่วงเวลาหนึ่งเจ้าหน้าที่หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะยังคงนิ่งเฉยเช่นที่เป็นอยู่หน้าโรงเรียนเซนคาเบรียลหรือไม่
หากเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองของโรงเรียนเซนคาเบรียลเป็นผู้ถูกกระทำคือเป็นผู้ประสบปัญหารถติดจะยังคงนิ่งเฉยหรือไม ผู้เขียนมองว่าคนรวยมักเสียงดังถูกกระทำใดใดมักเรียกร้องและมักจะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง ส่วนคนจนมักไม่มีเสียงไม่มีพื้นที่เมื่อถูกกระทำใดใดมักไม่ได้รับการเยียวยาหรือหากได้รับก็จะช้าและไม่เต็มที่ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือที่จะมีการเลือกปฎิบัติเช่นนี้
                ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกวันนี้ได้เกาะกินทุกๆสังคมทุกๆพื้นที่ยากที่จะแก้ไขเพราะไม่มีผู้ที่คิดจะเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง


ปัญหาชุมชน : หัวขโมยมอเตอร์ไซค์


ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแทบทุกบ้านจะมีรถจักรยานยนต์(มอเตอร์ไซค์)กันทั้งนั้น เพราะด้วยราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมากแถมยังมีบริการผ่อน 0% ให้บริการกันมากมายทำให้ไม่ใช่เรื่องยากหากจะซื้อหามาครอบครอง และด้วยเพราะในสังคมเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯนั้นการใช้รถมอเตอร์ไซค์ดูจะคล่องตัวและสะดวกกว่าใช้รถรถยนต์ทำให้รถมอเตอร์ไซค์เป็นที่ต้องการของตลาดในสังคมเมืองเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มักจะเลือกใช้รถมอเตอร์ไซค์กันอย่างแพร่หลาย แต่ด้วยเพราะความต้องการทางตลาดที่สูงนี้เองทำให้เกิดกลุ่มมิจฉาชีพที่มักจะหาโอกาสขโมยรถไปอย่างหน้าตาเฉย เยื่อบางรายยังไม่ทันผ่อนรถหมดเลยก็ถูกขโมยรถไปเสียแล้ว ซึ่งปัญหาการขโมยรถนี้มักจะพบเจอกันแทบทุกชุมชน ดังตัวอย่างของเราในวันนี้ขอหยิบยก  

                “ชุมชนสองร้อยห้อง” ที่เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ชาวบ้านมักจะประสบปัญหาโดนขโมยรถเพื่อเป็น    อุทาธรณ์และเครื่องเตือนภัยให้กับท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ

“ชุมชนสองร้อยห้อง” เป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเขตธนบุรี กรุงเทพฯ มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 100-200 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ชาวบ้านมักประกอบอาชีพค้าขายและรับจ้างเป็นส่วนใหญ่ วิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชนสองร้อยห้องแห่งนี้เป็นไปย่างเรียบง่าย พึ่งพาอาศัยกัน   มีกิจกรรมร่วมกันเสมอๆในวันสำคัญต่างๆทั้งวันพ่อ วันแม่ วันเด็ก ฯลฯ ชุมชนสองร้อยห้องถือเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่มักประสบปัญหาต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องของ ยาเสพติด เด็กติดเกมส์ ขโมยรถ แต่วันนี้ผู้เขียนขอหยิบยกปัญหาเรื่อง การขโมยรถมาเป็นหัวข้อในการสนทนานะค่ะ
โดยเราได้ไปสอบถามกับ ประธานชุมชน คุณวุฒิยา เพ็ญศรี ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเรื่องการขโมยรถจักรยานยนต์(มอเตอร์ไซค์) ค่ะ  

Q: ช่วยอธิบายถึงปัญหาการขโมยรถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) ของชุมชนให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?
A: ชาวชุมชนมักจะโดนขโมยรถกันแม้แต่จอดไว้ที่หน้าบ้านตัวเองก็ยังโดนเลย บ้างบ้านโดนตอนกลางวันด้วยซ้ำไป โดยพวกหัวขโมยมันจะเอารถไปถอดเป็นชิ้นๆขายกัน

Q: ในฐานะที่เป็นประธานชุมชนมีวิธีการดูแลและป้องกันการขโมยรถอย่างไร?
A: คือชุมชนของเราจะมียามตอนกลางคืนอยู่แล้วทุกวันแต่ก็จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นและได้ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในชุมชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กันเอง รวมทั้งมีการประสานงานกับสายตรวจในพื้นที่คือตำรวจจะเข้ามาตรวจทุกคืนค่ะ

Q: มีผู้ได้รับความเสียหายจากการขโมยรถมากแค่ไหน?
A: ปัจจุบันมีชาวบ้านโดนขโมยรถไปแล้วเกือบ 15 คัน ภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งทางตำรวจกำลังติดตามตัวคนผิดอยู่ค่ะ

            จากบทสัมภาษณ์คร่าวๆทำให้เราทราบได้ว่าภายในชุมชนแห่งนี้ปัญหาการขโมยรถถือเป็นปัญหาที่สำคัญและมีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากพวกหัวขโมยเป็นจำนวนมากทีเดียว ต่อไปเราได้ไปพูดคุยกับผู้ประสบเหตุโดนขโมยรถรายล่าสุด คุณพีรยา โพธิมากุล ค่ะ

Q: ช่วยเล่าเหตุการณ์วันที่โดนขโมยรถให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?
A: ค่ะ...คือวันนั้นตอนประมาณบ่าย 2 โมงไปตลาดกลับมาก็จอดรถไว้หน้าบ้านตามปกติค่ะ แล้วก็เดินเข้ามาในบ้านแต่ไม่ได้ปิดประตูบ้านนะค่ะ คือเดินเข้ามาจะมาเอากระเป๋าตังส์ประมาณ 15 นาที กลับออกไปรถก็หายแล้วค่ะ

Q: แล้วทำยังไงคะ...หลังจากรถหาย
A: ก็เลยขึ้นไปบนบ้านไปบอกลุงค่ะ...จากนั้นลุงก็ไปแจ้งความทำบันทึกประจำวันค่ะ

Q: คิดว่าจะได้รถคืนไหมคะ?
A: คิดว่าคงไม่ได้ค่ะ เพราะมันก็หลายอาทิตย์มาแล้ว แล้วพี่ที่เคยโดยขโมยก็ไม่ได้คืนค่ะ

            จากการพูดคุยทำให้ทราบว่าแม้จะดำเนินเรื่องไปยังตำรวจแล้วก็เป็นการยากที่จะจับตัวคนร้ายได้ และไม่มีชาวบ้านคนใดที่เมื่อโดนขโมยรถแล้วมีความหวังว่าจะได้คืน ต่างพากันทำใจกันทั้งสิ้น
หลังการสัมภาษณ์ทำให้ผู้เขียนเข้าใจวงจรชีวิตของเหล่าหัวขโมยมากขึ้น คือ การขโมยรถมันเป็นเพียงปัญหาหนึ่งเท่านั้นแท้จริงแล้วพวกขโมยที่มาขโมยรถนั้นเป็นตัวสร้างปัญหามากมายที่เหมือนวงจรอุบาด คือ อาจจะหนีออกจากบ้าน ติดยา ขโมย (เอาเงินมาซื้อยา)-ติดการพนัน ฯลฯ 

            ดังนั้นหากจะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเราจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน เช่น จะต้องจัดสัมมนาให้ความรู้ควบคู่กับการรณรงค์และอาจจะมีศูนย์เยียวยาต่างๆ

สมควรแล้วหรือ ? ร้านเหล้ากับสถาบัน !!


มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีสถานบันเทิงมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพบอยู่บริเวณชุมชนสวนอ้อย ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย

ชุมชนสวนอ้อย เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างกับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาเพียงแค่ถนนกั้นเท่านั้น โดยในตอนกลางวันจะมีเหล่านักศึกษาพากันข้ามถนนมาเพื่อทานอาหารกันในชุมชนแห่งนี้ซึ่งจะมีร้านอาหารให้เลือกกันมากมายและอีกสิ่งหนึ่งที่มีมากไม่แพ้กันคือหอพัก โดยมักจะเรียงรายกันเป็นตึกแถวภายในตรอกซอกซอยต่าง ๆ ส่วนในตอนกลางคืนสิ่งที่พบเห็นมากกลับกลายเป็น สถานบันเทิง (ร้านเหล้า)ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตกใจมากและที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือ กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านเหล้าจะเป็นนิสิตนักศึกษา ซึ่งกระจายกันอยู่ตามร้านต่าง ๆ สร้างความหนักอกหนักใจให้กับบรรดาผู้พบเห็น บ้างคนเวลาเมาก็มักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันสร้างความเดือดร้อนในกับเหล่าชาวบ้าน จากการสอบถามแหล่งข้อมูลทำให้เราได้ทราบว่า พื้นที่ในชุมชนสวนอ้อยอยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ส่วนพระองค์ซึ่งในหลวงได้แบ่งให้ประชาชนเช่าเพื่อเป็นที่ทำมาหากิน จากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า สถานที่นี้ไม่เหมาะที่จะเปิดสถานบันเทิงด้วยเหตุผลที่สำคัญ 2 ประการ คือ ที่ดินที่เช่าเป็นของในหลวง และ ยังอยู่ใกล้สถานศึกษา โดยถือว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ทางหน่วยงานที่ดูแลจะต้องหามาตรการมาจัดการในเรื่องเหล่านี้ เพราะการปล่อยปะละเลยไว้เปรียบเสมือนการยุยงส่งเสริมไปในทางอ้อมและถึงแม้ว่าการที่นักศึกษาจะดีหรือไม่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การดื่มเหล้าแต่การดื่มเหล้าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการพฤติปฏิบัติตนของนักศึกษาที่ดี หากไม่มีร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัยเชื่อว่าจำนวนนักศึกษาที่ดื่มเหล้าทุกวันจะต้องลดลงอย่างแน่นอน

หากต่อไปในอนาคตหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ได้จะทำให้เกิดผลดีกับทุกฝ่าย โดยทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริควรจะเป็นผู้ริเริ่มหาทีมงานมาดำเนินการต่างๆให้ถูกให้ควรตามหลักที่ควรจะเป็นไม่ควรปล่อยปะละเลยไว้เช่นนี้ โดยพื้นที่ตรงบริเวณนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็น ร้านเหล้า เพราะ ร้านเหล้ากับสถาบันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

การรุกล้ำชุมชนปัญหาที่เกิดจาก..จิตสำนึก



เคยมีคนกล่าวว่าคอนโดมิเนียมจะนำความเจริญมาสู่ชุมชน ...จริงหรือ ? ใครเป็นคนกล่าว ? นำมาจากไหน ? เพราะจากที่ผู้เขียนได้พบเจอมานั้น กลับพบว่าคอนโดมักมาพร้อมกับความวุ่นวายมากกว่า

วุ่นวายในที่นี้คือวุ่นวายทั้งกายและใจ เหตุที่วุ่นวายกายก็เพราะคอนโดฯนำมลพิษมาสู่ชุมชนอย่างมากมาย อาทิ เสียงก่อสร้าง กลิ่นปูน กลิ่นควัน ของเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ชุมชนเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้คอนโดจะเป็นหน่วยงานภาคเอกชน ทำงานรวดเร็วไม่ต้องติดขัดเรื่องงบประมาณสนับสนุนทำให้ใช้เวลาไม่นานในการก่อสร้าง แต่เมื่อถึงช่วงเร่งงานก่อนส่งมอบงานเหล่าคนงานก่อสร้างก็จะต้องเร่งรีบทำงานทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นการรบกวนคนในชุมชนมากแค่ไหน 
และส่วนสำคัญ คือวุ่นวายใจ เป็นอย่างที่รู้กันว่าปัญหาทางจิตใจเป็นเรื่องที่ยากจะจัดการ นั่นหมายถึง เรื่องของจิตใจเป็นปัญหาใหญ่ เพราะ ปัญหาทุกอย่างมักจะอยู่ที่ใจ โดยปัญหานี้เป็นปัญหาที่ตัวผู้เขียนเคยประสบมากับตัวโดยตรงคือเป็นเรื่องของ การรุกล้ำพื้นที่ชุมชน ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นกันแทบทุก ๆ โครงการ ถือได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่อีกหนึ่งปัญหาเลยทีเดียว เพราะ ตาสีตาสาคนธรรมดาจะเอาอะไรไปสู่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีรายได้เป็นพัน ๆ ล้าน และด้วยอำนาจของเงินจากแหล่งนายทุนจึงเป็นเหตุให้ไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือชาวบ้านตาดำ ๆ ถึงแม้จะรู้ว่าการรุกล้ำพื้นที่ชุมชนเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่โดยตรง หรือแม้แต่ตำรวจต่างพากันปิดปากเงียบไม่แม้แต่จะออกมาให้ความเห็นใดใด จะมีก็แต่สื่อที่เมื่อได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านจึงต้องออกมาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงตีแผ่ความจริงให้กระจ่างแจ้ง หากจะมีสักกี่คดีกันที่จะเป็นข่าวดังพอที่จะให้ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระตือรือร้นกันออกมาให้ความช่วยเหลืออย่างตรงไปตรงมา ผู้เขียนตอบได้เลยว่าคงน้อยมาก เพราะนั้นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด 


การแก้ปัญหาที่ถูกจุด คือควรให้ทุก ๆ ฝ่ายมีจิตสำนึกที่ดีต่อหน้าที่ของตนเอง คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไม่ละเลยหน้าที่ของตน ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด ทางด้านเจ้าของโครงการควรที่จะเห็นอกเห็นใจและเข้าใจชุมชนบ้างไม่ใช่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเลย และส่วนชุมชนเองก็ควรที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนไว้และไม่ทำอะไรโดยนอกกฎหมายเพราะในปัจจุบันเมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างโครงการกับชุมชนนั้นชุมชนมักจะแก้ปัญหาโดยใช้กำลังหรือประท้วงต่าง ๆ นานา ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

หากทุก ๆ ฝ่ายทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้อง ผู้เขียนเชื่อว่าจะไม่มีกรณีรุกล้ำพื้นที่ชุมชนเกิดขึ้นเป็นแน่ และยังจะเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีให้ระหว่างเจ้าของโครงการกับชุมชนให้เกิดขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจะปฏิบัติกันอย่างไร ?